EASY LIFE, EASY LIVING ปัญญาประดิษฐ์คิดแทนคน

ชีวิตจะยิ่งง่ายขึ้นเมื่อเข้าสู่ยุค 5.0
คุณอาจสงสัยว่า ‘อะไรกัน เพิ่งจะ 4.0 ไปไม่นาน กระแสยังไม่ทันซา แล้วนี่จะมา 5.0 แล้วหรือ แล้วแบบนี้จะต้องมาเรียนรู้อะไรใหม่เพิ่มบ้างละเนี่ย!’
ผมจะบอกคุณว่า ในยุค 5.0 ที่กำลังจะมาถึง คุณแทบไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่เลยครับ เพราะบรรดาอุปกรณ์ โปรแกรม หรือเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ จะเป็นฝ่ายเรียนรู้คุณเอง ผิดกับยุค 4.0 ที่เป็นยุคของ Digital Data ที่เราต้องมานั่งเรียนรู้อะไรตั้งหลายอย่าง ทั้งสมาร์ตโฟนที่ซับซ้อน ทั้งแอปฯ ในมือถือที่เต็มไปด้วยฟีเจอร์มากมาย ยังไม่นับรวมอุปกรณ์สุดไฮเทคต่างๆ ที่มักทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ค่อยฉลาดที่จะใช้มันได้คุ้มเงินสักเท่าไรเลย
ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในยุค 5.0 เพราะเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Machine Learning จะเปลี่ยนชีวิตคุณในทุกด้านให้สะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่ายุคไหนๆ ที่เคยมีมา
ตอนนี้คุณอาจสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่า แล้วเจ้า Machine Learning นี้คืออะไร
Machine Learning เครื่องจักรที่รักเรียนรู้
ในยุค 4.0 ที่อะไรก็กลายเป็นดิจิทัล และสามารถส่งผ่านอินเทอร์เน็ตได้หมด ทำให้โลกเราในวันนี้เต็มไปด้วยข้อมูลมากมาย หรือที่คุณอาจเคยได้ยินว่า Big Data ทำให้จากเดิมที่เวลาเราได้ข้อมูลหรือรายงานอะไรสักอย่างมา เราจะต้องมานั่งอ่านและเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจมัน เพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ที่ใช้งานได้
เช่น สมมติว่าผมเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมได้ข้อมูลการขายของลูกค้าในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ผมก็ต้องมานั่งอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อเพิ่มยอดขายหรือลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นดี แต่พอข้อมูลมากๆ เข้า สมมติว่าผมต้องอ่านรายงานของ 1,000 สาขา จากเดิมที่ผมต้องใช้เวลา 1 วันในการอ่าน ผมต้องใช้เวลาถึง 1,000 วันในการอ่าน เรียกได้ว่าอ่านเท่าไรก็คงไม่จบไม่สิ้น เพราะเดี๋ยวเดือนหน้ารายงานใหม่ที่ต้องใช้เวลาอ่านอีก 1,000 วัน ก็โผล่มาแล้ว
นี่ละครับ…คือปัญหาที่ Machine Learning จะเข้ามาช่วย ด้วยการเรียนรู้ข้อมูลทั้งหมดให้ และหาคำตอบที่เราต้องการให้อัตโนมัติ และหนึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจาก Machine Learning ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ ‘รถที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้’ อย่าง Tesla
ถ้าใครเคยดูคลิปของ Tesla ที่เจ้าของหลับอยู่หลังพวงมาลัยรถระหว่างที่รถค่อยๆ วิ่งไปบนถนนที่รถติดบนทางหลวงในสหรัฐฯ ก็คงนึกภาพความสะดวกสบายออกนะครับ ลองคิดดูสิว่า คุณสามารถนั่งทำงานหรือจะแชตไลน์บนรถได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลว่าจะชนกับรถคันหน้าอีกต่อไป
แล้วการที่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้แบบ Tesla แต่เดิมต้องใช้โปรแกรมเมอร์เพื่อบอกให้รถยนต์รู้จักขั้นตอนในการขับรถที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากมากมาย แต่ด้วย Machine Learning สามารถทำให้รถยนต์สามารถเรียนรู้ที่จะขับเองได้เพียงแค่พามันออกไปวิ่งบ่อยๆ ให้ข้อมูลการขับขี่บนท้องถนนให้มากๆ
บอกได้เลยว่า แม้วันแรกมันจะขับรถเองไม่ค่อยเก่งเหมือนคนหัดขับ แต่พอนานวันเข้า มันก็จะเก่งจนผมไม่แน่ใจว่าการสอบใบขับขี่ยังจำเป็นไหมในอนาคต
Machine Learning เรียนรู้เพื่อเสิร์ฟได้ทันใจ
ที่เมืองนิวยอร์ก เมื่อปี 2015 มีบริษัทสตาร์ตอัปที่ชื่อว่า Maple ที่เอาข้อมูจากร้านอาหารมาเรียนรู้เพื่อหาจะไปส่งอาหารให้ลูกค้าทางไหนเร็วที่สุด หรือบอกให้ร้านรู้ว่าช่วงไหนที่เมนูอะไรขายดี ก็เตรียมวัตถุดิบไว้ให้พอดี ไม่ต้องซื้อมาตุนให้มากเกินไปจนอาจเน่าเสียได้
ที่ผมชอบมากคือ มันยังสามารถบอกพ่อครัวให้เตรียมทำอาหารล่วงหน้ารอลูกค้าที่กำลังจะโทรเข้ามาสั่งได้เลย ทำให้จากเดิมที่ชั่วโมงหนึ่งเคยรับได้แค่ 5 ออเดอร์ กลายเป็นสามารถรับได้ถึง 30 ออเดอร์เลยทีเดียว เรียกได้ว่าลูกค้าก็ได้อิ่มทันใจส่วนร้านอาหารก็ได้ยอดขายทันที
Machine Learning เรียนรู้ที่จะวิ่งไปรับเอง
ที่ประเทศสิงคโปร์มีบริษัทชื่อ nuTonomy ที่ให้บริการรถแท็กซี่อัตโนมัติ หรือไร้คนขับนั่นเอง เวลาเราจะเรียกแท็กซี่ก็ง่ายๆ แค่กดผ่านแอปฯ แล้วก็ระบุจุดหมายปลายทาง จากนั้นรถก็จะมารับเราไปส่งถึงที่ตามต้องการ โดยไม่ต้องมีคนขับ ไม่ต้องมีคนขับค่ารถก็ถูกลงมากครับ ฟังแบบนี้แล้วอยากให้มีในบ้านเราวันนี้พรุ่งนี้เลยใช่ไหมครับ
Machine Learning เรียนรู้เพื่อสร้างเมนูใหม่
The Not Company ใช้ Machine Learning เพื่อเรียนรู้ว่าการจะทำอาหารให้ได้รสชาติ หรือรสสัมผัสเหมือนกันเป๊ะ แต่ไม่ต้องใช้วัตถุดิบเหมือนกันเลยต้องใช้อะไรบ้าง จากเดิมที่ต้องใช้นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารมากมายเพื่อเลียนแบบรสชาติจากธรรมชาติ แต่วันนี้บริษัทนี้สามารถสร้างน้ำนมวัวที่ไม่ได้มาจากนมวัว หรือมายองเนสที่ไม่ได้ทำจากมายองเนสแบบเดิม หรือแม้แต่ช็อกโกแลตที่ไม่ได้ทำจากช็อกโกแลต เพราะอาหารเหล่านี้ล้วนไม่ดีต่อสุขภาพ
แต่ The Not Company สามารถใช้ส่วนประกอบที่ดีอย่างพืช ผัก หรือถั่ว สร้างมันขึ้นมาแทน คาดว่าอีกหน่อยคงมีเบคอนที่ทำจากโปรตีนถั่วจนเราแยกรสชาติไม่ออก และสามารถกินเท่าไรก็ไม่อ้วนได้สบายเลยครับ
Machine Learning เรียนรู้เพื่อรักษา
การวินิจฉัยโรคมะเร็งเป็นอะไรที่ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่ต่ำกว่า 1 คน แถมยังต้องใช้เวลาไม่น้อยเป็นเดือนเพื่อให้แพทย์หาข้อสรุปร่วมกันอีกด้วย แต่ Watson ของ IBM สามารถวินิจฉัยมะเร็งปอดได้แม่นยำถึง 92% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปที่ยังทำได้ไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ เพราะมันเรียนรู้จากเคสโรคมะเร็งที่เคยเกิดขึ้นได้เป็นแสนๆ เคสพร้อมกันในเวลาอันสั้น ผิดกับมนุษย์จริงๆ ที่มีเหนื่อย มีพัก ต้องนอนหลับแล้วกลับมาเรียนรู้ต่อครับ อีกหน่อยการวินิจฉัยโรคต่างๆ จะเร็วขึ้น แถมยังถูกขึ้น และตัวหมอเองก็จะงานเบาขึ้นด้วยครับ
Machine Learning เรียนรู้ที่จะรู้ใจ
รู้ไหมครับว่าเคล็ดลับของเว็บขายของออนไลน์ใหญ่ๆ ทั้งหลาย อย่าง Lazada, Shopee, JD หรือ Amazon ที่ช่างแนะนำสินค้าที่โดนใจเราออกมาได้ประจำคืออะไร ก็ข้อมูลของเรานี่แหละครับ เพราะเว็บใหญ่ทั้งหลายใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมการส่องดูสินค้าของเรา การซื้อของเรา รวมไปถึงการแชตคุยกับคนขายของเรา เพื่อแนะนำสินค้าที่เราน่าจะอยากซื้อให้เราซื้อเพิ่มเรื่อยๆ ไม่หยุด เรียกได้ว่าถ้าเผลอช้อปทีได้ช้อปยาวแน่
หรืออย่าง Netflix แอปฯ ดูหนังที่เรามักจะเผลอดูต่อเนื่องยาวๆ ไปโดยไม่รู้ตัว ก็เพราะมันเรียนรู้จากหนังเรื่องก่อนๆ ที่เราเคยดู แล้วก็หาหนังใหม่ มาแนะนำให้เราดูไปยาวๆ อย่างไรเล่าครับ ผมคนหนึ่งละที่แค่ไล่ดูตัวอย่างก็เลือกไม่ถูกว่าจะดูอะไรแล้ว เพราะอยากดูมันทุกเรื่องเลยทีเดียว
Machine Learning เรียนรู้ที่จะเป็นพนักงานผู้รอบรู้ถึง 13 ภาษา
สายการบิน KLM Royal Dutch Airline ให้ Machine ไปเรียนรู้เพื่อให้พร้อมตอบคำถาม-แก้ปัญหาให้ลูกค้าผ่าน Facebook Messenger ได้ถึง 13 ภาษา ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งลองคิดภาพดูซิว่า ถ้าต้องจ้างพนักงานที่สามารถพูดได้ถึง 13 ภาษา จะต้องใช้กี่คน และการต้องมีพนักงานเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง ก็ต้องคูณ 3 เข้าไปอีก เห็นไหมครับว่าทั้งหมดสามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้ลูกค้าแฮปปี้ และพนักงานก็ไม่ต้องเครียดกับการรองรับอารมณ์ผู้โดยสารขี้เหวี่ยงด้วย
พอจะเห็นภาพวันพรุ่งนี้ของชีวิตยุค 5.0 แล้วใช่ไหมครับ ชีวิตเราสะดวกสบายกันมากขึ้น แทบไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ เพราะบรรดาเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ รอบตัว เรียนรู้ที่จะทำให้เราถูกใจเอง แต่ถ้าเราไม่รู้จักที่จะเรียนรู้ก็อาจตกรุ่นเอาง่ายๆ เหมือนโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ที่พอผ่านไปปีเดียวก็เก่าแล้วครับ
![]() |
Techonology Self-Driving Car
ที่รถยนต์บางรุ่นเริ่มขับเคลื่อนเองได้อย่างฉลาดขึ้นทุกที อย่างที่ประเทศสิงคโปร์มีรถแท็กซี่ที่ไม่ต้องมีคนขับรถคอยขับรถส่งอีกต่อไป |
![]() |
Technology AI Assistant
แบบที่ Google ใช้ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ เสมือนคนจริงๆ ให้โทร. ไปจองโต๊ะที่ร้านอาหารได้ หรือโทร. ไปต่อรองกับพนักงานร้านได้ด้วย ว่าถ้าวันที่เราต้องการเต็ม ควรจะเลื่อนเป็นวันไหนที่ไม่กระทบกับตารางงานของเรา |
![]() |
Technology Machine Vison
ปกติถ้าอยากรู้อะไรให้เสิร์ชหา แต่ถ้าไม่รู้ว่าไอ้ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคืออะไรก็คงเสิร์ชหาไม่ได้ แต่วันนี้เราสามารถถ่ายรูปเพื่อเสิร์ชหาได้ว่าไอ้ที่เห็นตรงหน้าคืออะไร เพราะกล้องทุกวันนี้กลายเป็นดวงตาอัจฉริยะไปแล้ว |
![]() |
WearTech
เสื้อผ้าในวันพรุ่งนี้จะเก็บข้อมูลเราได้ดียิ่งกว่า Apple Watch รุ่นไหนๆ เสื้อผ้าจะมาพร้อมแผงวงจรที่แนบไปกับเนื้อผ้า และจะคอยตรวจวัดเราตลอดเวลาว่าเมื่อไรเราควรลุก เมื่อไรเราควรนั่ง หรือเมื่อไรที่เราเครียดเกินไป จากอัตราการหายใจและอุณหภูมิร่างกายที่เปลี่ยนไปแม้เล็กน้อย |
![]() |
RetailTech
ร้านสะดวกซื้อบางแห่งเริ่มใช้เทคโนโลยีทดแทนพนักงานขาย ทำให้ลดต้นทุนคนลงไปแล้วใช้ระบบมากมายเข้ามาดูแล ตั้งแต่ตรวจนับสินค้า หรือตัดเงินอัตโนมัติเมื่อหยิบของแล้วเดินออกจากร้านไป แถมขโมยก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ล็อคอินก่อนเข้าร้านเหมือนเข้าเว็บก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาช้อป คิดภาพ 7-11 ที่ไม่มีพนักงานแม้แต่คนเดียว แล้วก็เปิดรับทุกคนตลอด 24 ชั่วโมงก็แล้วกันครับ |
![]() |
Technology Biometric
โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ อย่าง iPhoneX สมัยนี้ที่ใช้การสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อค แต่รู้ไหมว่าเทคโนโลยีเดียวกันนี้ที่ประเทศจีนถูกใช้ในการขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว ด้วยการสแกนใบหน้าแล้วตัดเที่ยวหรือค่ารถไฟฟ้าผ่านบัญชีที่ผูกไว้กับใบหน้าแต่ละคนได้เลย |
![]() |
Technology Smart-Contact บน Blockchain
จากเดิมที่เวลาเราซื้อประกันเที่ยวบินดีเลย์ กว่าจะได้เงินต้องกรอกเอกสารแล้วก็ต้องรอการตรวจสอบ แต่วันนี้ด้วยเทคโนโลยี Smart-Contact เมื่อทุกอย่างเข้าเงื่อนไขถ้าเครื่องบินดีเลย์ไปนาทีเดียว เงินก็จะโอนเข้าบัญชีที่ผูกไว้อัตโนมัติ ไม่ต้องกรอกเอกสารและทำเรื่องให้ยุ่งยากอีกต่อไป |